วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

Journey to the toilet in China 5 ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 5

 

Journey to the toilet in China 5
ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 5




ความตอนที่แล้ว ผมยังเขียนอยู่เลยว่า การมาเมืองจีนครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของอาตั่วกู๋ นึกไม่ถึงเลยว่ากำลังจะเป็นความจริง เพราะตอนนี้อาตั่วกู๋กำลังนอนไม่ได้สติมาเกือบเดือนแล้ว จากการที่เส้นเลือดในสมองแตก ดังที่เคยเล่าให้ฟังในกระทู้อื่นๆ


ความตั้งใจแรกผมจะเขียนเรื่องห้องน้ำเมืองจีนและแทรกเรื่องการเยี่ยมญาติประกอบไปบ้างพอไม่ให้เลี่ยน แต่เขียนไปเขียนมา คงต้องเล่าเรื่องประสบการณ์การเยี่ยมญาติควบคู่กันไปด้วย เพราะแฟนคลับผู้ทรงอิทธิพลร้องขอมา เป็นใครไปไม่ได้นั่นก็คือ. อาม้า นั่นเอง


หลังจากเยี่ยมญาติฝ่ายยาย(อาหวั่วม่า) ไปแล้ว คราวนี้ก็มาเยี่ยมญาติฝ่ายตา (อาหวั่วกง) กันบ้าง ซึ่งญาติฝ่ายยายกับฝ่ายตาแม้จะอยู่เมืองจีนใกล้ๆกันแต่ไม่รู้จักกันหรอกเพราะอาหวั่วม่ากับอาหวั่วกงมาเจอกันที่ประเทศไทย

อย่างที่เล่าในความตอนก่อนว่าอาหวั่วม่ามาเมืองไทยเพราะสามีตาย อาหวั่วกงมาเมืองไทยด้วยสาเหตุที่ drama ไม่แพ้อาหวั่วม่า นี่ถ้าสร้างเป็นหนังผมคงเลี่ยนแล้วบ่นว่าทำไมบทหนังถึง build ให้รันทด drama เกินเหตุ

ก่อนจากเมืองจีนอาหวั่วกงก็ไม่รู้ตัวเลยว่าจะไม่มีโอกาสได้กลับไปเหยียบแผ่นดินเกิดอีกแล้ว ก่อนเดินทางไกลได้ลาน้องสาวว่า...เฮียไปไม่นาน...เดี๋ยวจะกลับมาหา. คำว่าเดี๋ยวของหวั่วกงนั้นกินเวลาชั่วชีวิต วันที่อาม้าไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีนครั้งแรกเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้น. น้องสาวของอาหวั่วกงที่ผมต้องเรียกว่าอาเหล่าโกวนั้น บอกกับอาม้าว่า ฉันรอการกลับมาของพี่ชายมา 50 ปีแล้ว แต่พี่ชายไม่เคยกลับมาเลย

หลังจากกลับจากไหว้เฮียงบู๋ซัวแล้วคณะเราก็ตรงดิ่งไปบ้านของอาเหล่าโกว หรือน้องสาวของคุณตาผม



นี่คือบ้านของอาเหล่าโกวเป็นเรือนแถว ที่เห็นประตูทางเข้าสามประตูนั่น ไม่ใช่เป็นเจ้าของเดียว 1 ประตูต่อ 1 ครอบครัว

เดินเข้าไปบ้านต้องคับแคบแน่นอนแต่กลับมีห้องครัวที่ใหญ่ ใช้ได้เลย


ห้องครัวจะอยู่หน้าบ้าน. เมื่อเดินผ่านห้องครัวก็เจอห้องนอนเลย และแน่นอน "ไม่มีห้องน้ำ"

อาเฮียเอี้ยงลิ้มก็ปรารถนาดีแสนมีน้ำใจ กลัวน้องจากเมืองไทยอย่างผมอยากจะเข้าห้องน้ำ สู้อุตส่าห์เดินไปสำรวจว่ามีห้องน้ำซ่อนอยู่หลืบใดบ้าง เมื่อพบเจอว่าเพื่อนบ้านของอาเหล่าโกวที่อยู่ด้านตรงข้ามมีห้องน้ำด้วยก็ดีใจ กวักมือเรียกผม. ชี้นิ้วพร้อมเรียกว่า. "แชะซ้อ".
ผมนึกในใจ "อะไรหว่า แชะ แชะ หรือจะเรียกให้ไปถ่ายรูป อาเฮียบู๋ลิ้มน้องชายเฮียเอี้ยงลิ้มผู้เคยมาเมืองไทย ได้ยินเข้าก็ว่าใส่พี่ชายว่า "คนเมืองไทยเขาเรียกกันว่า กงซีล่ง ไปเรียกอย่างนั้นเขาไม่เข้าใจหรอก". พอได้ยินคำว่า กงซีล่ง ผมเข้าใจทันทีว่าอาเฮียเขาเรียกให้ผมไปเข้าห้องส้วม



จริงๆแล้วตั้งแต่มาเมืองจีนนี่ความอยากเข้าห้องน้ำก็ลดลงไปกึ่งหนึ่งโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ยิ่งมาเห็นสภาพบ้าน(ตามภาพบน)ก็รู้ได้ทันทีว่าห้องน้ำต้องแคบและมืดแน่นอน ก็เลยโบกมือปฏิเสธอาเฮียไป มานึกเสียดายภายหลังว่าน่าจะเข้าไปถ่ายรูปเก็บไว้ซักหน่อย

ความที่บ้านอาเหล่าโกวทั้งแคบและมืด ผมก็เลยต้องยืนรออยู่ด้านนอกไป ถ่ายรูปสภาพหมู่บ้านไป



แต่อาม้าบอกว่าให้เข้าไปในบ้านกิน "ไข่หวาน". ที่ลูกสะใภ้ของอาเหล่าโกวทำให้ ผมปฏิเสธแต่อาม้าบอกว่าต้องเข้าไปกินเพราะเป็นธรรมเนียม



เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นอาม้ากับอาตั่วกู๋นั่งประจำที่อยู่แล้วภายในบ้านของอาเหล่าโกว ที่ทั้งมืดและแคบ เพราะในฤดูหนาวจะหนาวมาก เขาเลยเจาะช่องหน้าต่างเล็กนิดเดียว ลองหยิบถ้วยไข่หวานที่วางบนโต๊ะมากินแค่คำเดียวก็ขยาดเพราะหวานสมชื่อ เมื่อไม่มีที่นั่งก็ต้องยืนกิน พลางมองไปรอบๆก็สะดุดตากรอบรูปเก่าๆกระจกมัวๆที่ติดผนัง มีเด็กวัยรุ่นห้าคนยืนเรียงตามอายุ

"จ๊าก! นี่มันรูปเราห้าพี่น้องนี่นา ตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นด้วย มาติดอยู่นี่ได้ไงนี่"

สรุปอาม้าเป็นคนส่งรูปลูกหลานที่เมืองไทยมาให้อาเหล่าโกวดู อาเหล่าโกวก็จัดแจงใส่กรอบรูปแขวนผนัง โดยที่พวกเราไม่รู้เลยว่ามีคนแก่ที่เฝ้ามองรูปเราจากชนบทอันห่างไกลในประเทศจีนมาเกือบยี่สิบปีแล้ว



ภาพเหล่าบรรดาเพื่อนบ้านของอาเหล่าโกว ทุกคนอายุเกินแปดสิบทั้งสิ้น อาม่าที่ยืนอยู่ในภาพนี้อายุเก้าสิบกว่าแล้วแต่ยังแข็งแรงมากซ้ำยังพูดเก่ง พูดเร็วผิดคนแก่บ้านเรา พยายามอธิบายให้ผมฟังว่าอาเหล่าโกวของผมดีใจสุดๆ ที่หลานจากเมืองไทยจะมาเยี่ยม ออกมารอตั้งแต่เช้า เดี๋ยวก็ผุดลุกผุดนั่งชะเง้อคอรอ ซึ่งแกก็ได้รอพี่ชายมา 50 ปีจนมาเจออาม้าครั้งแรกเมื่อยี่สิบก่อน จึงเลิกรอพี่มารอหลานยุคอาม้าอีก ยี่สิบปี รวมแล้ว 70 ปี ปัจจุบันแกอายุเกือบเก้่าสิบปีแล้ว



คนซ้ายอาเหล่าโกววัย 87 กับขวาเพื่อนบ้านวัย 92 ที่ยากจนไม่มีแม้ห้องส้วมใช้ ออกมาส่งหลานจากเมืองไทยที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าแต่สุขภาพร่างกายกลับแข็งแรงน้อยกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น