แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Journey to Chinese toilets แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Journey to Chinese toilets แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

Journey to the toilet in China 5 ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 5

 

Journey to the toilet in China 5
ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 5




ความตอนที่แล้ว ผมยังเขียนอยู่เลยว่า การมาเมืองจีนครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของอาตั่วกู๋ นึกไม่ถึงเลยว่ากำลังจะเป็นความจริง เพราะตอนนี้อาตั่วกู๋กำลังนอนไม่ได้สติมาเกือบเดือนแล้ว จากการที่เส้นเลือดในสมองแตก ดังที่เคยเล่าให้ฟังในกระทู้อื่นๆ


ความตั้งใจแรกผมจะเขียนเรื่องห้องน้ำเมืองจีนและแทรกเรื่องการเยี่ยมญาติประกอบไปบ้างพอไม่ให้เลี่ยน แต่เขียนไปเขียนมา คงต้องเล่าเรื่องประสบการณ์การเยี่ยมญาติควบคู่กันไปด้วย เพราะแฟนคลับผู้ทรงอิทธิพลร้องขอมา เป็นใครไปไม่ได้นั่นก็คือ. อาม้า นั่นเอง


หลังจากเยี่ยมญาติฝ่ายยาย(อาหวั่วม่า) ไปแล้ว คราวนี้ก็มาเยี่ยมญาติฝ่ายตา (อาหวั่วกง) กันบ้าง ซึ่งญาติฝ่ายยายกับฝ่ายตาแม้จะอยู่เมืองจีนใกล้ๆกันแต่ไม่รู้จักกันหรอกเพราะอาหวั่วม่ากับอาหวั่วกงมาเจอกันที่ประเทศไทย

อย่างที่เล่าในความตอนก่อนว่าอาหวั่วม่ามาเมืองไทยเพราะสามีตาย อาหวั่วกงมาเมืองไทยด้วยสาเหตุที่ drama ไม่แพ้อาหวั่วม่า นี่ถ้าสร้างเป็นหนังผมคงเลี่ยนแล้วบ่นว่าทำไมบทหนังถึง build ให้รันทด drama เกินเหตุ

ก่อนจากเมืองจีนอาหวั่วกงก็ไม่รู้ตัวเลยว่าจะไม่มีโอกาสได้กลับไปเหยียบแผ่นดินเกิดอีกแล้ว ก่อนเดินทางไกลได้ลาน้องสาวว่า...เฮียไปไม่นาน...เดี๋ยวจะกลับมาหา. คำว่าเดี๋ยวของหวั่วกงนั้นกินเวลาชั่วชีวิต วันที่อาม้าไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีนครั้งแรกเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้น. น้องสาวของอาหวั่วกงที่ผมต้องเรียกว่าอาเหล่าโกวนั้น บอกกับอาม้าว่า ฉันรอการกลับมาของพี่ชายมา 50 ปีแล้ว แต่พี่ชายไม่เคยกลับมาเลย

หลังจากกลับจากไหว้เฮียงบู๋ซัวแล้วคณะเราก็ตรงดิ่งไปบ้านของอาเหล่าโกว หรือน้องสาวของคุณตาผม



นี่คือบ้านของอาเหล่าโกวเป็นเรือนแถว ที่เห็นประตูทางเข้าสามประตูนั่น ไม่ใช่เป็นเจ้าของเดียว 1 ประตูต่อ 1 ครอบครัว

เดินเข้าไปบ้านต้องคับแคบแน่นอนแต่กลับมีห้องครัวที่ใหญ่ ใช้ได้เลย


ห้องครัวจะอยู่หน้าบ้าน. เมื่อเดินผ่านห้องครัวก็เจอห้องนอนเลย และแน่นอน "ไม่มีห้องน้ำ"

อาเฮียเอี้ยงลิ้มก็ปรารถนาดีแสนมีน้ำใจ กลัวน้องจากเมืองไทยอย่างผมอยากจะเข้าห้องน้ำ สู้อุตส่าห์เดินไปสำรวจว่ามีห้องน้ำซ่อนอยู่หลืบใดบ้าง เมื่อพบเจอว่าเพื่อนบ้านของอาเหล่าโกวที่อยู่ด้านตรงข้ามมีห้องน้ำด้วยก็ดีใจ กวักมือเรียกผม. ชี้นิ้วพร้อมเรียกว่า. "แชะซ้อ".
ผมนึกในใจ "อะไรหว่า แชะ แชะ หรือจะเรียกให้ไปถ่ายรูป อาเฮียบู๋ลิ้มน้องชายเฮียเอี้ยงลิ้มผู้เคยมาเมืองไทย ได้ยินเข้าก็ว่าใส่พี่ชายว่า "คนเมืองไทยเขาเรียกกันว่า กงซีล่ง ไปเรียกอย่างนั้นเขาไม่เข้าใจหรอก". พอได้ยินคำว่า กงซีล่ง ผมเข้าใจทันทีว่าอาเฮียเขาเรียกให้ผมไปเข้าห้องส้วม



จริงๆแล้วตั้งแต่มาเมืองจีนนี่ความอยากเข้าห้องน้ำก็ลดลงไปกึ่งหนึ่งโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ยิ่งมาเห็นสภาพบ้าน(ตามภาพบน)ก็รู้ได้ทันทีว่าห้องน้ำต้องแคบและมืดแน่นอน ก็เลยโบกมือปฏิเสธอาเฮียไป มานึกเสียดายภายหลังว่าน่าจะเข้าไปถ่ายรูปเก็บไว้ซักหน่อย

ความที่บ้านอาเหล่าโกวทั้งแคบและมืด ผมก็เลยต้องยืนรออยู่ด้านนอกไป ถ่ายรูปสภาพหมู่บ้านไป



แต่อาม้าบอกว่าให้เข้าไปในบ้านกิน "ไข่หวาน". ที่ลูกสะใภ้ของอาเหล่าโกวทำให้ ผมปฏิเสธแต่อาม้าบอกว่าต้องเข้าไปกินเพราะเป็นธรรมเนียม



เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นอาม้ากับอาตั่วกู๋นั่งประจำที่อยู่แล้วภายในบ้านของอาเหล่าโกว ที่ทั้งมืดและแคบ เพราะในฤดูหนาวจะหนาวมาก เขาเลยเจาะช่องหน้าต่างเล็กนิดเดียว ลองหยิบถ้วยไข่หวานที่วางบนโต๊ะมากินแค่คำเดียวก็ขยาดเพราะหวานสมชื่อ เมื่อไม่มีที่นั่งก็ต้องยืนกิน พลางมองไปรอบๆก็สะดุดตากรอบรูปเก่าๆกระจกมัวๆที่ติดผนัง มีเด็กวัยรุ่นห้าคนยืนเรียงตามอายุ

"จ๊าก! นี่มันรูปเราห้าพี่น้องนี่นา ตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นด้วย มาติดอยู่นี่ได้ไงนี่"

สรุปอาม้าเป็นคนส่งรูปลูกหลานที่เมืองไทยมาให้อาเหล่าโกวดู อาเหล่าโกวก็จัดแจงใส่กรอบรูปแขวนผนัง โดยที่พวกเราไม่รู้เลยว่ามีคนแก่ที่เฝ้ามองรูปเราจากชนบทอันห่างไกลในประเทศจีนมาเกือบยี่สิบปีแล้ว



ภาพเหล่าบรรดาเพื่อนบ้านของอาเหล่าโกว ทุกคนอายุเกินแปดสิบทั้งสิ้น อาม่าที่ยืนอยู่ในภาพนี้อายุเก้าสิบกว่าแล้วแต่ยังแข็งแรงมากซ้ำยังพูดเก่ง พูดเร็วผิดคนแก่บ้านเรา พยายามอธิบายให้ผมฟังว่าอาเหล่าโกวของผมดีใจสุดๆ ที่หลานจากเมืองไทยจะมาเยี่ยม ออกมารอตั้งแต่เช้า เดี๋ยวก็ผุดลุกผุดนั่งชะเง้อคอรอ ซึ่งแกก็ได้รอพี่ชายมา 50 ปีจนมาเจออาม้าครั้งแรกเมื่อยี่สิบก่อน จึงเลิกรอพี่มารอหลานยุคอาม้าอีก ยี่สิบปี รวมแล้ว 70 ปี ปัจจุบันแกอายุเกือบเก้่าสิบปีแล้ว



คนซ้ายอาเหล่าโกววัย 87 กับขวาเพื่อนบ้านวัย 92 ที่ยากจนไม่มีแม้ห้องส้วมใช้ ออกมาส่งหลานจากเมืองไทยที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าแต่สุขภาพร่างกายกลับแข็งแรงน้อยกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Journey to the toilet in China 4 ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 4

Journey to the toilet in China 4
ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 4

เรื่องนี้เขียนขึ้นเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่จะไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีน จะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ. ภาพและเนื้อหาบางอย่างเป็นเรื่องไม่น่าอภิรมย์ ผู้ที่ขวัญอ่อน อ่อนไหวในเรื่องนี้โปรดพิจารณาก่อนอ่านชม ภาพบางภาพอาจมีการปรับแต่งลดสีเพื่อความเหมาะสม
 


เช้าวันที่สาม อาม้าวางแผนจะสลัดชิ่งรถเก่าแก่ไร้เครื่องปรับอากาศของอาเฮียเอี้ยงลิ้ม และเฮียบู๋ลิ้ม ด้วยการจ้างรถตู้ตระเวนเยี่ยมญาติเอง จะได้นั่งรถไปคันเดียวกันทั้ง 6 คน แอร์ก็เย็นฉ่ำ ชะรอยสองเฮียจะรู้ทันสั่งเปลี่ยนโปรแกรมกะทันหัน ให้ไปไหว้ เฮียงบู๋ซัววันนี้แทนที่จะไปวันพรุ่งนี้เพราะอาเฮียบอกว่าไหว้แล้วกลับเข้าเมืองซัวเถามันย้อนไปย้อนมา สู้ไหว้วันนี้แล้วตระเวนเยี่ยมญาติในโผวเล้งจะดีกว่า พวกเราเลยต้องนั่งรถแสนเก่าไม่มีแอร์ไป เฮียงบู๋ซัว ร่วมสองชั่วโมง ระหว่างทางก็คิดถึงเรื่องเมื่อวานเรื่องที่ อาม้าขัดคำสั่งอาหวั่วม่า!


ความช้ำใจ ใจสลายจากการที่รู้ว่าลูกที่อุตส่าห์ฝากญาติสนิทเลี้ยงแต่กลับตาย. กลายเป็นความเจ็บแค้นทำให้ อาหวั่วม่า ย้ำกับอาม้าว่า ถ้าไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีน ห้ามไปเยี่ยมบ้านน้องสามีที่หวั่วม่าเคยฝากลูกไว้ โดยเด็ดขาด แต่อาม้าก็ฝ่าฝืนคำสั่ง.......เพราะญาติบ้านนั้นเป็นช่องทางเดียวที่อาตั่วกู๋จะได้กลับไปไหว้สุสานพ่อที่เสีย และกลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง ทั้งคนรุ่นเก่า รุ่นหวั่วม่าก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว ที่เหลือปัจจุบันเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานที่เขาไม่ได้ก่อไว้

ที่จริงถ้าหวั่วม่ายังอยู่ก็คงไม่ว่าอะไรเพราะสิ่งที่ติดค้างในใจแท้จริงไม่ใช่เรื่องความเจ็บแค้น แต่เป็นเรื่องความรู้สึกผิดบาปต่อลูกคนเล็กมากกว่า

การมาครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของอาตั่วกู๋แล้ว ด้วยวัยกว่าแปดสิบ และต้องฟอกไตทำให้การเดินทางไปที่ไกลๆไม่สะดวก การมาครั้งล่าสุดเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว เห็นสุสานของพ่อตัวเองที่ทำอย่างง่ายๆ ริมทางเดิน คนแทบจะข้ามไปข้ามมา ก็สลดใจเพราะลูกหลานสายตรงก็ไปอยู่เมืองไทยหมด ลูกหลานที่อยู่ที่นี่เขาก็ต้องทำให้สุสานพ่อตัวเองดีไว้ก่อนอยู่แล้ว  ครั้งนี้ตั่วกู๋จึงต้องมาดูสุสานของพ่อให้เห็นกับตาอีกครั้ง เมื่อพบว่าการร้องขอและส่งเงินจากไทยมาสมทบทุนได้ผล ทำให้สุสานของพ่อและปู่ ย่า ได้ย้ายไปอยู่บนเขา ดูดีมาก ก็สบายใจ

เก้าโมงเช้าคณะเราก็มาถึงเมืองเตี้ยเอี้ย ที่ตั้งของ เฮียงบู๋ซัว ซึ่งทุลักทุเลหน่อยเพราะฝนตกหนัก



ผมได้ยินชื่อ เฮียงบู๋ซัว หรือศาลเจ้าพ่อเสือมานานแล้ว เพราะทุกครั้งที่อาม้าประสบเหตุยุ่งยากไม่ว่าในเรื่องอะไร อาม้าจะขึ้นไปบนดาดฟ้าไหว้ขอพรจากเฮียงบู๋ซัว ก็จะประสบความสำเร็จ ทำให้อาม้าต้องกลับมาไหว้ทุกครั้งที่มาเยี่ยมญาติ ทั้งที่ไกลกันคนละเมือง  มีคนรู้จักบางคนยิ่งกว่าอาม้าอีก มาไหว้เฉพาะที่นี่ทุกปี ไหว้เสร็จกลับเลย เพราะเขาเคยขอพรตอนที่เป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆ ว่าถ้าเขาร่ำรวยเขาจะกลับมาไหว้ทุกปี



อาม้าไม่ได้บนบานให้ตัวเองคนเดียว ยังบนบานเผื่อผมด้วย ซึ่งภายหลังได้ตามประสงค์ ผมจึงต้องมาอธิษฐานและทำบุญตามที่บนบานไว้  ในวัดมีเทพเจ้าหลายองค์มากเลยเดาว่าเป็นองค์ใหญ่ที่สุดองค์นี้แน่ แต่อาม้าว่าไม่ใช่ องค์ใหญ่เป็นองค์ที่สร้างใหม่เมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง เพราะวิหารองค์เก่าแก่คับแคบไม่พอรองรับผู้คนที่หลั่งไหลมาไหว้



องค์ต้นฉบับเป็นองค์เล็กๆอยู่ในห้องที่ไม่กว้างมากนักแต่องค์นี้เขาว่ามีอายุมากกว่า 400 ปีแล้ว


ก่อนลาจากเมืองนี้ซึ่งต้องเดินทางกลับอีกสองชั่วโมงก็ขอเข้าห้องน้ำก่อน ได้ยินเรื่องห้องน้ำสยองจิวจ่ายโกวของอาม้าแล้ว ลองเทียบบัญญัติไตรยางค์ดู ขนาดจิวจ้ายโกว สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังยังสยองขนาดนี้ แล้วที่นี่จะขนาดไหน



ผิดคาดอย่างแรงครับ ออกจะกว้างขวาง สะอาดกว่าส้วมบางที่ตามวัดต่างจังหวัดในบ้านเราเสียอีก



ภายในห้องก็เป็นแบบนั่งยองตามมาตรฐานเมืองจีน แต่อาม้าบอกว่าห้องน้ำหญิงมีบางส่วนเป็นส้วมชักโครกด้วย ซึ่งผมไม่ได้สำรวจทุกห้อง ห้องน้ำชายก็อาจจะมี นับว่าผมมายุคที่เขาพัฒนาขึ้นมากแล้ว เอ...หรือว่าเมืองจีนเขาจะพัฒนาแล้วหว่า มาสามวันแล้วยังไม่เจอจังๆเลย 



บทความตอนที่แล้ว


Ek Feng Shui: Journey to the toilet in China 3 ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 3

Ek Feng Shui: Journey to the toilet in China 2 ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 2


Ek Feng Shui: Journey to the toilet in China part 1ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน ตอนที่ 1

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Journey to the toilet in China 3 ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 3

Journey to the toilet in China 3
ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 3

เรื่องนี้เขียนขึ้นเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่จะไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีน จะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ. ภาพและเนื้อหาบางอย่างเป็นเรื่องไม่น่าอภิรมย์ ผู้ที่ขวัญอ่อน อ่อนไหวในเรื่องนี้โปรดพิจารณาก่อนอ่านชม ภาพบางภาพอาจมีการปรับแต่งลดสีเพื่อความเหมาะสม
 

นึกไม่ถึงว่าชีวิตของคุณยายของผมมีอะไรบางอย่างคล้ายกับหนังเรื่อง The Joy Luck Club ที่ผมเคยดูแล้วร้องไห้เมื่อสิบกว่าปีก่อน คุณยายมีเหตุจำเป็นต้องทิ้งลูกและไม่มีโอกาสกลับเมืองจีนบ้านเกิด ต้องฝากความรักและความหวังให้ลูกสาวกลับไปเยี่ยมแทน แบบเดียวกับในหนังเลย

"โห....นี่ขนาดยุคปัจจุบันยังนั่งรถมานานขนาดนี้ สมัยแปดสิบปีก่อนนี่ไม่มีรถต้องถือว่า หวั่วม่านี่แต่งงานไกลบ้านจริงๆ"

ผมเริ่มบ่นขณะนั่งรถรับจ้างเดินทางไปยังหมู่บ้าน โผวเล้งเจี่ยเจี้ยว ซึ่งหวั่วม่า(คุณยาย)แต่งงานมาอยู่กับสามีที่นี่ สามีคนแรกซึ่งเป็นพ่อของตั่วกู๋(ลุง/พี่ชายคนโตของแม่) หลังแต่งงานหวั่วม่าก็มีลูกชายสามคน บ้านยากจนมาก วันนั้นตรงกับเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง หวั่วม่าทำบ๊ะจ่างแต่เป็นข้าวเหนียวเปล่าๆไม่มีไส้ เพราะยากจน ไม่อุดมไส้แบบบ้านเรายุคปัจจุบันที่ใส่สารพัดจนบ๊ะจ่างแทบแตก วันนั้นพ่อของตั่วกู๋เหนื่อยผสมกับความหิวจัดจาการทำงานบนเขา กลับมาถึงบ้านก็รีบกินบ๊ะจ่างอัดเข้าท้อง ไม่นานก็อึดอัด และเสียชีวิต

ผู้หญิงคนเดียวต้องขึ้นเขาไปรับจ้างแบกเกลือเลี้ยงลูก กระนั้นก็แร้นแค้นมาก ลูกๆไม่มีข้าวจะกิน ในที่สุดหวั่วม่าก็ตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต หอบลูกชายคนโต(ตั่วกู๋) อายุ 6 ขวบ และลูกชายคนรอง 4 ขวบ ไปประเทศไทย ส่วนลูกชายคนเล็กนั้นเด็กมากเอาไปฝากที่บ้านน้องสามีและน้องสะใภ้ที่เมืองจีนเลี้ยง

อาหวั่วม่าไม่รู้เลยว่า การจากลูกคนเล็กครั้งนั้นจะเป็นการจากลาชั่วชีวิต ! และยิ่งไม่รู้เลยว่าจะเป็นการจากลาบ้านเกิดอย่างที่ไม่มีวันได้หวนกลับ



การตามรอยไปบ้านหวั่วม่าหลังแต่งงาน ก็ไม่ต่างกับบ้านเกิด ต้องเดินสถานเดียว รถเข้าไม่ถึง



ยิ่งเดินยิ่งแคบ



มาถึงแล้ว "อะไรกัน? อย่างกับห้องแถว!"

ที่เห็นมีสองประตูน่ะ อยู่กันสองครอบครัว ประตูด้านขวาหวั่วม่าอยู่กับสามี(พ่อตั่วกู๋) ส่วนด้านซ้ายเป็นน้องสามีกับน้องสะใภ้ เอ.....เรียกถูกหรือเปล่า ภรรยาของน้องสามี



ประตูไม้เก่าๆถูกใส่กลอน เลยถ่ายรูปลอดรูไม้แตก แลเห็นเป็นห้องแคบ มีชั้นสองเป็นพื้นไม้เก่าๆ ดูดูแล้ว น่าจะยากจนกว่าบ้านเกิดหวั่วม่าเสียอีก และแน่นอน ไม่มีห้องน้ำ!

บ้านหลังนี้เองที่เป็นบ้านเกิดของตั่วกู๋ แม้ตั่วกู๋จากมาตั้งแต่หกขวบ ปัจจุบันอายุเจ็ดสิบกว่าแล้วแต่ก็ยังจำบ่อน้ำนี้ได้



บ่อน้ำนี้เป็นตาน้ำ ระดับน้ำในบ่อจะสูงกว่าระดับน้ำในคลองเสมอ ตอนเด็กๆตั่วกู๋วิ่งเล่นกับน้อง บ้านยากจนไม่มีอะไรจะกิน ก็กินน้ำในบ่อ กับ ใช่โป๊วที่หวั่วม่าทิ้งไว้ให้ลูกกิน ก่อนออกไปรับจ้างแบกเกลือบนภูเขา ปัจจุบันนี้ตั่วกู๋จะขยาดใช่โป๊วมาก เพราะเอียนฝังใจมาตั้งแต่เด็ก

..............."แล้วน้องคนเล็ก ที่หวั่วม่าฝากน้องสามีเลี้ยงล่ะอยู่ไหน?"

หวั่วม่าเสียชีวิตก่อนที่ผมจะเกิด ผมจึงไม่มีโอกาสเห็นหน้า พูดคุย สัมผัสนิสัยใจคอ แต่การกลับมาตามรอยในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ที่เมืองจีนนั้นทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึก จิตวิญญาณ ความปวดร้าวที่ต้องจากบ้านเกิดและลาจากลูกที่ยังเล็ก ในหนังเรื่อง The Joyluck Club ที่ว่าเศร้าแล้ว แต่ของหวั่วม่านั้นเศร้ากว่า เพราะในหนังตอนท้ายพบว่าลูกที่ทิ้งไว้ริมถนน....ไม่ตาย แต่หวั่วม่าทิ้งลูกไว้กับญาติสนิท ลูกกลับตาย มีคนจากเมืองจีนมาเล่าให้หวั่วม่าฟังว่า เด็กร้องคิดถึงแม่ตลอดเวลา ร้องไห้จนป่วย ไม่มีใครพาไปหาหมอ ปล่อยให้ตาย

น้องสะใภ้ไม่แจ้งข่าวเลย หวั่วม่าก็ส่งเงินกลับเมืองจีนให้ตลอด โดยไม่รู้ว่าลูกตายแล้ว

ตอนจบของหนัง The Joyluck Club ก็คล้ายๆกัน แต่ของหวั่วม่าก็เศร้ากว่าอีกตรงที่ หวั่วม่ายากจนกว่าและพยายามเก็บเงินมาทั้งชีวิตเพื่อโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดซักครั้ง พอเก็บเงินได้ก็มาล้มป่วย ก่อนตายได้ฝากความหวังไว้ที่ลูกสาว ในที่สุดอาม้าแม้จะเกิดที่เมืองไทยแต่กลับมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของแม่ให้ได้



ภาพชนบทของ โผ้วเล้ง ที่น่าจะแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากตอนที่หวั่วม่าจากมา


เพื่อไม่ให้เศร้าเกินไป และตอนนี้ไม่มีภาพห้องน้ำให้ดู เลยขออนุญาตโพส Link Youtube รวบรวมห้องน้ำน่าสยองจากเมืองจีน ที่เพื่อนตัวแสบอุตส่าห์หามาให้ ภาพและเสียงค่อนข้างทารุณ พิจารณาก่อนชมด้วยครับ











บทความตอนที่แล้ว


Ek Feng Shui: Journey to the toilet in China 2 ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 2


Ek Feng Shui: Journey to the toilet in China part 1ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน ตอนที่ 1





วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Journey to the toilet in China 2 ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 2

Journey to the toilet in China 2
ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 2
 

เรื่องนี้เขียนขึ้นเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่จะไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีน จะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ. ภาพและเนื้อหาบางอย่างเป็นเรื่องไม่น่าอภิรมย์ ผู้ที่ขวัญอ่อน อ่อนไหวในเรื่องนี้โปรดพิจารณาก่อนอ่านชม ภาพบางภาพอาจมีการปรับแต่งลดสีเพื่อความเหมาะสม 


ความเดิมตอนที่แล้ว 


Ek Feng Shui: Journey to the toilet in China part 1ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน ตอนที่ 1


ผมได้รบเร้าให้อาเหล่ากู๋ พาไปบ้านเก่าแก่ที่อาหวั่วม่าอยู่อาศัยก่อนจะอพยพมาเมืองไทย หลังจากดื่มด่ำกับบ้านเก่าๆและจินตนาการถึงวิถีชีวิตของบรรพบุรุษ เห็นห้องครัวที่ลูกหลานในยุคปัจจุบันของชนบทจีนก็ยังใช้เตาทรงคล้ายๆแบบนี้อยู่ พื้นไม้ชั้นบนเป็นห้องนอนเก่ามาก แต่ก็ยังไม่พัง เหลียวซ้ายแลขวา 
“เอ๊ะ ห้องน้ำอยู่ไหน”



อาเหล่ากู๋ พาไปบ้านเก่าแก่ที่อาหวั่วม่าอยู่อาศัยก่อนจะอพยพมาเมืองไทย แกก็พาผม โซ้ยกู๋(น้าที่เกิดในไทย) และอาตุ่น(หลานเกิดในไทย) เดินไปตามตรอก ซึ่งชนบทของจีนกับของไทยนี่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บ้านแต่ละหลังอยู่กันอย่างหนาแน่นเหมือนกับตึกแถวรุ่นเก่าในกรุงเทพ คั่นกันด้วยตรอกแคบๆ รถยนต์หมดสิทธิเข้าถึงต้องเดินอย่างเดียว ซึ่งอาเหล่ากู๋แม้จะแก่ร่วมแปดสิบ ซ้ำยังเดินเท้าเปล่า แต่ก็เดินไวชะมัดยาด จนต้องหยุดรอหลานทั้งสามเป็นระยะ



ยุคนี้ยังตากฟืนไว้หน้าบ้าน ผมว่าชนบทไทยน่าจะหายากแล้วที่ยังใช้ฟืนแบบนี้ อาแจ้คนนี้จ้องมองอย่างสงสัยคงไม่ค่อยเคยเห็นคนต่างถิ่นที่แต่งตัวแปลกๆ ซำ้ยังถือกล้องกันพะรุงพะรัง ขนาดวันนี้บ้านอาเหล่ากู๋จัดงานใหญ่ขึ้นบ้านใหม่แท้ๆ ไม่เห็นมีใครถือกล้องถ่ายรูปกันซักคน



อย่าว่าแต่คนเลย ควายมันยังจ้องไม่วางตาเลย วันนี้อาโซ้ยกู๋ดันใส่เสื้อแดงแป๊ดมาซะด้วย เลยเดินไปหวาดไป

ไม่นานก็มาถึงบ้านอาหวั่วม่า ซึ่งรูปทรงและ Space ก็คล้ายๆกับบ้านรุ่นใหม่ที่ลูกอาเหล่ากู่เพิ่งสร้างเสร็จและกำลังขึ้นบ้านใหม่ คนที่นี่เขาอนุรักษ์วิถีชีวิตกันดีจริง ขนาดบ้านเก่าร่วมร้อยปีก็ยังอยู่ เพียงแต่ทรงโทรมไปตามกาลเวลาเท่านั้น ถ้าเป็นเมืองไทยน่ะรึ ป่านนี้ลูกหลานจับแปรสภาพไปนานแล้ว



สอบถามเรื่องอายุบ้านก็ได้ความว่า ทั้งอาหวั่วม่า และพี่น้องทั้งหมดล้วนเกิดและอยู่ที่บ้านหลังนี้ ลองคำนวณดูถ้าหวั่วม่ายังมีชีวิตอยู่ก็อายุร้อยกว่าปีแล้ว บ้านหลังนี้อายุต่ำๆก็ต้องร้อยกว่าปี



ครกกระเดื่องที่ใช้ตำข้าวยังอยู่ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงกลิ่นแห่งอดีต



เห็นห้องครัวที่ลูกหลานในยุคปัจจุบันของชนบทจีนก็ยังใช้เตาทรงคล้ายๆแบบนี้อยู่ พื้นไม้ชั้นบนเป็นห้องนอนเก่ามาก แต่ก็ยังไม่พัง เหลียวซ้ายแลขวา “เอ๊ะ ห้องน้ำอยู่ไหน”
“อะไรกัน ! ไม่มีห้องน้ำ”
เรื่องข้อสงสัยว่าไม่มีห้องน้ำแล้วเขาไปเข้าส้วมที่ไหน อย่างไร เดี๋ยวให้อาม้ามาเฉลยให้ฟังในโอกาสต่อไป
แต่เราก็ไม่เสียเที่ยวเรื่องห้องน้ำซะทีเดียวเพราะตอนเดินกลับอาโซ้ยกู๋แม้จะเกิดที่ไทยแต่ก็เคยมาเยี่ยมญาติหลายรอบแล้วรู้ดีว่าส้วมที่นี่เขาเป็นยังไงเลยอาสาพาไปชี้ให้ดู



บ้านกลุ่มนี้เป็นบ้านยุคกลาง ก็คือไม่เก่าแบบบ้านหวั่วม่า แต่ก็ไม่ใหม่แบบบ้านลูกเหล่ากู๋ นั่นไง หน้าบ้านทุกหลังมีขุดรูและมีแผ่นไม้ปิดอยู่



บ้านหลังนี้เรียบร้อยหน่อยมีแผ่นปิดค่อนข้างมิดชิด



หลังนี้ไม่ไหว ปิดไม่หมด แถมยังวางอุปกรณ์การตักโชว์หราอยู่หน้าบ้าน อาโซ้ยกู๋ชี้ Present ให้ดูแล้วยังหัวเราะชอบใจใหญ่ ถึงตรงนี้ผมก็เข้าใจในทันทีที่เห็นส้วมรุ่นใหม่ของบ้านลูกอาเหล่ากู๋อยู่หน้าบ้าน ทั้งที่ศาสตร์ฮวงจุ้ยของจีนห้ามไม่ให้ส้วมอยู่หน้าบ้าน เพราะบ้านรุ่นใหม่ก็ยังติดวัฒนธรรมจากบ้านยุคกลางที่จำเป็นต้องให้ส้วมชิดหน้าเวลาถ่าย ของเสียก็จะไหลออกมาที่บ่อหน้าบ้าน พร้อมตักไปรดผักในตอนเช้าได้ทันที.........เฮ้อ..............

จริงๆมีบ้านที่ไม่ปิดฝาเลย ถ่ายภาพมาด้วย แต่อย่าดูเลย

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Journey to the toilet in China part 1ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน ตอนที่ 1

ในที่สุดก็มาถึงวันนี้จนได้ วันที่สุดยอดแห่งห้องน้ำในตำนานที่ใครๆเขาก็กริ่นเกรงกันหนักหนาได้เผยโฉมออกมาให้ทุกคนได้ยล 

Journey to the toilet in China
ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน

เรื่องนี้เขียนขึ้นเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่จะไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีน จะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ. ภาพและเนื้อหาบางอย่างเป็นเรื่องไม่น่าอภิรมย์ ผู้ที่ขวัญอ่อน อ่อนไหวในเรื่องนี้โปรดพิจารณาก่อนอ่านชม ภาพบางภาพอาจมีการปรับแต่งลดสีเพื่อความเหมาะสม
 

เรื่องราวห้องน้ำจากเมืองจีนนั้นเป็นที่กล่าวขานถึงความสยดสยองพองขนจนกลายเป็นตำนานเล่าขาน สร้างความหวาดกลัวแก่ผู้ได้ยิน จนไม่กล้าย่างกลายไปเยี่ยมเยือน โดยเฉพาะญาติในชนบท บัดนี้ในฐานะที่ผมเป็นผู้เชี่ยวในการท่องเที่ยวไปตามห้องน้ำ การขาดภาพและเรื่องห้องน้ำที่เมืองจีนก็คงไม่ใช่ตัวจริงเรื่องห้องน้ำ
ก่อนเข้าเรื่องปัจจุบันขอเล่าตัวอย่างเรื่องของคนใกล้ตัวที่เคยประสบมาเป็น ออเดริฟ ก่อน. อาม้าผมเอง

"ตอนไปเที่ยว จิ่วจ้ายโกว(Jiuzhaigou 九寨沟) นะเขาเป็ห่วงคนแก่กลัวจะเป็นลม เลยให้ซื้อ ออกซิเจน เผื่อไว้ว่าขึ้นไปที่สูงขาดอากาศหายใจจะได้ใช้ ที่ไหนได้ ไม่ได้ใช้เลย จนลงมาข้างล่าง งานเข้า! ข้าศึกโจมตีปวดจะต้องเข้าห้องน้ำให้ได้ เดินเข้าไปถึงกับผงะ เพราะทุกห้องมีอึที่คนถ่ายไว้ทับทมกันเป็นกองใหญ่ แต่ด้วยความปวดมากไม่ไหวแล้ว อาม้าเลยหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเสร็จๆไป และออกซิเจนที่ซื้อไว้ก็ไม่เสียเงินเปล่าได้ใช้ก็อีตอนเข้าห้องน้ำนี่ล่ะ 555555 "

อาม้าหัวเราะอย่างอร่อย พร้อมทั้งสำทับว่า อย่าไปเที่ยวในวันชาติจีนเด็ดขาดเพราะคนจะเยอะมาก แต่โซ้ยกิ๋ม(น้าสะใภ้)ที่ได้ฟังเรื่องกลับตลกไม่ออก แทบจะอ้วกออกมา ภาพแห่งความทรงจำในอดีตที่โซ้ยกิ๋มเคยมีประสบการณ์คล้ายๆกันลอยขึ้นมา

คราวนั้นโซ้ยกิมซึ่งเป็นคนไทยแท้ติดตามโซ้ยกู๋ ไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีน นั่งเครื่องบินไปลงฮ่องกงแล้วต่อเรือและรถเข้าซัวเถา บ้านญาติก็ยังห่างจากเมืองซัวเถาอีกหลายร้อยโล ไม่ถึงเสียทีโซ้ยกิ๋มปวดฉี่มากเมื่อเจอห้องน้ำสาธารณะ เลยร้องขอให้จอดรถ รีบวิ่งเข้าไปห้องน้ำ เมื่อเห็นถึงกับฉี่หดหมดเลย เพราะที่เห็นถึงขั้นหนอนขึ้นยั้วเยี้ย

ในทริปนี้คณะเราขึ้นเครื่องบินสายการบิน China Southern Airlines ขณะขึ้นเครื่องขาไป อาม้า(เจ้าเก่า)ก็เจอเหตุการณ์ประเดิมจนได้ อุตส่าห์ได้สิทธิของการเป็นคนแก่ขาไม่ดีได้นั่งที่หน้าๆติดกับชั้น bussiness class นึกกระหยิ่มยิ้มย่องได้เข้าห้องน้ำด้านหน้าของชั้นธุรกิจเขา ไม่ต้องเดินไกล อาม้ารอหน้าห้องน้ำอยู่นานพอควร ชายหนุ่มก็ไม่แก่เท่าไหร่ แต่งตัวดีก็ออกจากห้องน้ำมา พร้อมหลบหลีกหนีไปอย่างรวดเร็ว อาม้าเดินเข้าไปเท่านั้นแหละ !?!!! กองโตอยู่ตรงหน้า เพราะเขาคงกดน้ำไม่เป็นซ้ำยังไม่รู้ที่ทิ้งกระดาษ ทิ้งเกลื่อนที่พื้นนั่น. แต่คราวนี้ยังดีที่มีปุ่มให้กดล้าง ไม่ต้องไปปล่อยทับถมกับคนอื่นแบบที่เคยโดนมา เฮ้อ.....

ตามประสาคนรอบคอบ ต้องก่อนไปก็ลองหาภาพทางอินเตอร์เนตดูสิว่า "จะรับได้ไหม ถ้าถึงวันนั้น......"



เอ่อ........ถ้าเจอแบบนี้จริงๆ คงยากรับมือแฮะ

จริงๆมีอีกภาพที่ตอนแรกจะเอารูปมาลงคู่กันแต่ก็ตัดสินใจตัดออก เพราะมันเกินจะรับ

แม้บรรดาผู้ใหญ่ชาวจีนชอบบอกว่ามาจากซัวเถา แต่พอมาถึงจริงๆ จากสนามบินตัวเมืองซัวเถาต้องนั่งรถเก่าแก่ต่อเข้าไปยังอำเภออีกไกล รถเก่าแก่ที่ว่าเป็นของอาเฮียบู๋ลิ้ม และอาเฮียเอี้ยงลิ้ม (ที่มีศักดิ์ญาติผู้พี่ของผมเอง) รถเก่าแก่ยังไม่หนำเท่าการปราศจาก แอร์คอนดิชั่น มีแต่แอร์ธรรมชาติและฝุ่น ที่รถต้องเก่าแก่เขาบอกว่า กลัวโดนปล้น ผ่านไปร่วมสองชั่วโมงเราก็มาถึง “โผวเล้ง” ตอนค่ำจึงมาถึงโรงแรมที่เรามาพักชื่อ Rung Hua Hotel. ในย่านที่เรียกว่า หมี่โอว นี่คาดว่าจะเป็นระดับตัวอำเภอ หรือตำบล ซึ่งผมก็ได้เตรียมใจมาแล้วว่าสภาพห้องน้ำของโรงแรมระดับนี้คงไม่น่าอภิรมย์ ด้วยก่อนมาได้ลองหาข้อมูลทาง net พบคนที่เคยมาประสบกับห้องน้ำฝันร้ายในโรงแรมท้องถิ่น ตามรูป ส่วนรายละเอียดความสยองเชิญตามไปอ่านเอาเองได้ที่นี่ครับ http://www.oknation.net/blog/gogodreamer/2010/08/20/entry-1



แต่พอมาถึงกลับ “ผิดคาดนะคร้าบ..บบบ ดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลย”





แต่.........กระดาษชำระ ไม่มีให้นะ หาเตรียมมาเอาเอง แต่ก็ใช้ได้บนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้ามีให้ครบ ทั้งสบู่ แชมพู ส่วนซองสีฟ้าๆแดงๆ ที่อยู่มุมเคาน์เตอร์ลิบๆนั่น อย่าไปแตะเชียว ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง

เสียงอาม้าลอยมา.....
"ก็แหงล่ะซี ม้ามาเป็นหนูทดลองหลายรอบ จนเชี่ยวแล้ว รู้ไหมคราวที่แล้วน่ะ เฮียบู๋ลิ้มพาม้าไปนอนโรงแรมจิ้งหรีด ยุงกัดแทบตาย น้ำอาบต้องไปตักจากโอ่ง "

ตื่นมาตอนเช้า ก็มีแมลงสาบมานอนต้อนรับกลางทางเดิน ระยะทำการ



วันที่สอง คณะเราชาวเสียมล้อ(สยาม)ก็ได้ไปเยี่ยม “อาเหล่ากู๋” มีศักดิ์เป็นน้าชายของอาม้า
อาเหล่ากู๋อยู่ในหมู่บ้าน “โผวเล้งตั่วป่า” รถยนต์เข้าไม่ถึง เหล่าผู้เฒ่าต้องพากันเดินเท้าเข้าไป ในภาพอาเหล่ากู๋แม้จะแก่กว่าแต่ต้องมาจูง อากิ๋ม หลานสะไภ้ ที่อยู่ดีกินดีจากเมืองไทย



บ้านในหมู่บ้านนี้จะสร้างเหมือนกันหมด ตั้งแต่สมัยเป็นร้อยปีก่อน แม้ลูกหลานแยกครอบครัวมาสร้างบ้านใหม่ก็จะสร้างทรงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง



เข้าในบ้าน สิ่งแรกที่สอดส่ายหาดูก่อน เจอแล้วขวามือ “ห้องน้ำ”



รู้สึกผิดหวังเล็กๆ ที่ไม่เจอห้องน้ำโหดๆ Hardcore แบบที่หวัง อาม้าว่าบ้านอาเหล่ากู๋ นี่จัดว่าพัฒนาแล้วเพราะมีญาติจากเมืองไทยมาสร้างห้องน้ำให้ ขนาดมีโถชักโครกด้วย แต่คนที่นี่ใช้กันไม่เป็นอ้างว่าท่อตัน จึงเปลี่ยนเป็นนั่งยองภายหลัง



ลองเดินข้ามไปบ้านลูกชายอาเหล่ากู๋ที่อยู่ใกล้ๆกัน วันนี้เป็นวันดีเขากำลังเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่พอดี เป็นบ้านทรงเดียวกับอาเหล่ากู๋เปี๊ยบ แต่ใหม่กว่าเท่านั้น

ห้องน้ำยิ่งใหม่กิ๊กเลย ส่วนอีกรูปคือห้องครัว แม้จะถึงขั้นมี Hood เครื่องดูดควันใช้กันแล้ว แต่ก็ยังต้องคงมีเตาเผาฟืนใช้อยู่ ถ้าได้ห้องน้ำแค่นี้คงเสียเที่ยวเป็นแน่จึงผมจึงรบเร้าให้อาเหล่ากู๋พาไปบ้านเก่าร่วมร้อยปีที่ อาหวั่วม่า(ยาย)เกิดและอยู่อาศัยก่อนอพยพไปประเทศไทย โปรดติดตามตอนต่อไป