วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

สัประยุทธ์ การ์ตูน บนยุทธภพ Facebook จาก iPad ตอน 2

สัประยุทธ์ การ์ตูน บนยุทธภพ Facebook จาก iPad ตอน 2 


อันที่จริงแอพฯที่พิเรนใช้วาดการ์ตูนส่งมาให้ผมนั้น จัดได้ว่าเป็นแอพชั้นเทพ เปรียบได้กับคัมภีร์เก้าอิมจากมังกรหยก หรือ คัมภีร์ทานตะวัน จากเดชคัมภีร์เทวดา เมื่อผู้มีวรยุทธ์สูงได้พลังวิชาชั้นยอดทำไมยังจุดอ่อนอีกเล่า

ArtStudio for iPad ถ้าตามไปดูที่ appstore จะพบว่าแอพนี้ได้คะแนนสูงมาก สี่ดาวครึ่งเต็มห้าดาว และเวลาผมไปเปิดหนังสือต่างประเทศแอพฯนี้ก็ได้รับการยกย่องว่า เป็น Best ของแอพด้านงานศิลป์เลยทีเดียว (ลองเปิดดูสองเล่ม ก็ให้แอพนี้ยอดเยี่ยมทั้งสองเล่ม)

http://itunes.apple.com/th/app/artstudio-for-ipad-draw-paint/id364017607?mt=8



ภาพนี้เป็นแปลนร้านอาหาร ผมใช้กระป๋องเทสีลงไปในแปลน สีจะเว้นเฟอร์นิเจอร์ให้โดยอัตโนมัติ



การทำงานของแอพนี้จะทำงานเป็นเลเยอร์ แต่ละเลเยอร์สามารถปรับแสง สี ได้แบบโปรแกรม Photoshop ในคอมพิวเตอร์



ภาพนี้ลองใช้ Filter จะเห็นว่ารูปแบบการทำงานมันคือ Photoshop บน iPad นั่นเอง แต่ราคาตอนผมซื้อแค่ 0.99 $ หรือสามสิบบาท


ยอดเยี่ยมขนาดนี้ทำไมยังแพ้อีก จุดอ่อนอยู่ที่กับดักของความเก่ง

ความเก่งกาจทางด้านคอมพิวเตอร์ของพิเรนทำให้พิเรนไปยึดติดนิสัยการทำงานบนคอมพิวเตอร์มาใช้ใน iPad ซึ่งนิสัยของคอมพิวเตอร์กับนิสัยของ iPad นั้นแตกต่างกัน จริงๆอยากเรียกว่า  "สันดาน"  แต่มันซ้ำกับหนังสือ "รู้ทันสันดาน Tense" อันนี้ก็เช่นเดียวกัน การประมือครั้งนี้อยู่บนเวที iPad เราต้อง รู้ทันสันดาน iPad ด้วย

รู้ๆกันอยู่ว่าหัวสมองของ iPad นั้นเล็กกว่าคอมพิวเตอร์ ดังนั้นแอพฯแต่ละแอพฯจะมีขนาดเล็กกว่าโปรแกรมในคอมพิวเตอร์มาก การจะทำงานสักชิ้นหนึ่ง บางครั้งผมต้องใช้ สี่ถึงห้าแอพฯ ส่งงานชิ่งต่อกัน ประหนึ่งทีมฟุตบอลส่งชิ่งบอลอย่างสวยงามและราบรื่น ซึ่งต่างจากนิสัยบนคอมพิวเตอร์ซึ่งแต่ละโปรแกรมจะมีขนาดใหญ่ ซับซ้อนกว่า ซ้ำยังอีโก้สูงอีกด้วย เพราะล้วนกำเนิดมาจากค่ายยักษ์ใหญ่ทั้งนั้น เราจึงมักทำงานชิ้นหนึ่ง บนโปรแกรมเดียว หรือทำให้เสร็จบนโปรแกรมนั้นแล้วค่อยส่งต่อไปอีกโปรแกรมหนึ่ง การจะไปชิ่งชิ้นงานไปมาเหมือนการชิ่งบอลนั้นทำได้ แต่ยาก

ArtStudio นั้นจัดได้ว่าเป็นแอพฯที่ซับซ้อนมีเครื่องมือการทำงานที่เยอะและครอบคลุม จึงไม่ได้แปลกใจที่คนเก่งอย่างพิเรนและพวกนักวิจารณ์ฝรั่งที่มีทักษะทางคอมสูงจะโปรดปรานเทคะแนนให้แอพฯนี้

แต่งานนี้คือ การเขียนการ์ตูน เครื่องมือการทำงานที่สำคัญที่สุดคือ ลายเส้นปากกา ส่วนการปรับสีหรือ Filter ต่างๆนั้นเป็นเรื่องรอง Artstudio อาจเก่งงานศิลป์โดยรวม เหมือนคนที่ได้เกรดเฉลี่ยที่หนึ่งของห้อง มิได้หมายความว่าเขาจะได้ที่หนึ่งทุกรายวิชา วิชาเลข วิชาสังคมเขาอาจจะได้ที่สองที่สามก็ได้ งานนี้พิเรนพลาดเสียแล้ว

พูดมาถึงตรงนี้คนที่ใช้ iPad อยู่ต้องนึกถึง SketchBook Pro fro iPad เป็นแน่ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นโปรด้านลายเส้นสเก็ตช์ ซ้ำยังถือกำเนิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Autodesk แม้ทางด้านศิลป์โดยรวมเป็นรอง ArtStudio เพราะไม่สามารถปรับแสงสีและฟิวเตอร์ในแต่ละเลเยอร์แต่เรื่องลายเส้นการวาดไม่เป็นรองแน่

http://itunes.apple.com/th/app/sketchbook-pro-for-ipad/id364253478?mt=8

ไปดูที่แอพฯสโตร์จะเห็นว่า ได้คะแนน สี่ดาวครึ่ง เหมือนกัน

และนี่เป็นภาพของคนวาดการ์ตูนมือโปรที่เขาใช้แอพฯ SketchBook Pro fro iPad วาด เทพมากๆ



ภาพจากเว็บนี้ครับ

http://mika-chai.exteen.com/20110911/ipad



แต่ จะบอกอะไรให้ ผมไม่ได้ใช้แอพฯนี้ในการวาดการ์ตูนพิเรนหรอก เพราะผมเป็นแค่นักวาดสมัครเล่น ไม่คู่ควรกับแอพฯมือโปรเขาหรอก

ผมจะใช้แอพฯอะไรมาประมือด้านการ์ตูนกับพิเรน และ ทำไมผมจึงไม่เลือกใช้แอพฯ SketchBook Pro ซึ่งก็เห็นๆอยู่แล้วว่าเขาทั้งเก่ง ทั้งโปร ซ้ำมาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ ยังมีแอพฯที่เทพกว่านี้อีกหรือ โปรดติดตามตอนต่อไป

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

สัประยุทธ์การ์ตูนบนยุทธภพ Facebook จาก iPad

สัประยุทธ์ การ์ตูน บนยุทธภพ Facebook จาก iPad

ค่ำวันหนึ่งระหว่างละเลียดเช็คอีเมล ก็พบว่านายพิเรน(เพื่อนคนเดียวกันจากตอน พิเรนตัดใจตัดซิมใส่ iPad) แท็กรูปมาให้ทาง Facebook เมื่อลองไปเปิดดูก็พบว่า



นายพิเรนวาดการ์ตูนล้อเลียนผมจาก iPad แล้วโพสลงกระดานเผยแพร่ให้เหล่าผองเพื่อนได้ขบขัน (พิเรนมันวาดเป็นซีรีย์สามภาพ มีคำพูดด้วย แต่ผมขอลงแค่รูปเดียวเพื่อความเหมาะสม)

"หนอย พิเรนมันจะย่ามใจมากไปแล้ว คิดว่าตนเองมีมืออยู่คนเดียวเรอะ"

อันว่านายพิเรนนั้นมีฝีมือทักษะทางคอมพิวเตอร์อย่างร้ายกาจ ในหมู่เพื่อนทั้งหมดไม่มีใครเก่งคอมพิวเตอร์เกินเขา เปรียบได้กับ อึ้งเอี๊ยะซือ มารบูรพา จากเรื่องมังกรหยก หรือ ตงฟางปู๋ไป้ บูรพาไม่แพ้ จากเรื่องเดชคัมภีร์เทวดา ยากที่ใครจะต่อกรกับเขาได้ แต่นี่มัน iPad ซึ่งมีเวทีที่ต่างกับคอมพิวเตอร์ การที่เขาคิดว่าเป็นหนึ่งในเวทีคอมพิวเตอร์แล้วย่ามใจลงมาท้าประลองในเวที iPad นั้นเขาจะต้องเสียใจในไม่ช้า

"ได้เลย ประเดี๋ยวจะจัดหนัก ชุดใหญ่ให้"



ได้ผล เมื่อพิเรนเห็นภาพการ์ตูนตัวเอง ทาปากแดง ก็ถึงกับเต้นด้วยความงงงวย "เอ็งใช้ แอพฯอะไรวาดการ์ตูนฟ้ะ"
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

ปล.ลองพิจารณาการ์ตูนสองรูปนี้จะพบว่า การ์ตูนที่พิเรนวาดติดพื้นหลังกระดาษขาวสี่เหลี่ยมมาด้วย แต่ที่ผมวาดนั้น ไม่มีฉากหลังกระดาษขาว นับว่าวรยุทธของพิเรนใน iPad ด้อยกว่าผมหนึ่งกระบวนท่า แต่ยัง ยังไม่จบ

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

Journey to the toilet in China 5 ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 5

 

Journey to the toilet in China 5
ท่องไปตามห้องส้วมเมืองจีน 5




ความตอนที่แล้ว ผมยังเขียนอยู่เลยว่า การมาเมืองจีนครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของอาตั่วกู๋ นึกไม่ถึงเลยว่ากำลังจะเป็นความจริง เพราะตอนนี้อาตั่วกู๋กำลังนอนไม่ได้สติมาเกือบเดือนแล้ว จากการที่เส้นเลือดในสมองแตก ดังที่เคยเล่าให้ฟังในกระทู้อื่นๆ


ความตั้งใจแรกผมจะเขียนเรื่องห้องน้ำเมืองจีนและแทรกเรื่องการเยี่ยมญาติประกอบไปบ้างพอไม่ให้เลี่ยน แต่เขียนไปเขียนมา คงต้องเล่าเรื่องประสบการณ์การเยี่ยมญาติควบคู่กันไปด้วย เพราะแฟนคลับผู้ทรงอิทธิพลร้องขอมา เป็นใครไปไม่ได้นั่นก็คือ. อาม้า นั่นเอง


หลังจากเยี่ยมญาติฝ่ายยาย(อาหวั่วม่า) ไปแล้ว คราวนี้ก็มาเยี่ยมญาติฝ่ายตา (อาหวั่วกง) กันบ้าง ซึ่งญาติฝ่ายยายกับฝ่ายตาแม้จะอยู่เมืองจีนใกล้ๆกันแต่ไม่รู้จักกันหรอกเพราะอาหวั่วม่ากับอาหวั่วกงมาเจอกันที่ประเทศไทย

อย่างที่เล่าในความตอนก่อนว่าอาหวั่วม่ามาเมืองไทยเพราะสามีตาย อาหวั่วกงมาเมืองไทยด้วยสาเหตุที่ drama ไม่แพ้อาหวั่วม่า นี่ถ้าสร้างเป็นหนังผมคงเลี่ยนแล้วบ่นว่าทำไมบทหนังถึง build ให้รันทด drama เกินเหตุ

ก่อนจากเมืองจีนอาหวั่วกงก็ไม่รู้ตัวเลยว่าจะไม่มีโอกาสได้กลับไปเหยียบแผ่นดินเกิดอีกแล้ว ก่อนเดินทางไกลได้ลาน้องสาวว่า...เฮียไปไม่นาน...เดี๋ยวจะกลับมาหา. คำว่าเดี๋ยวของหวั่วกงนั้นกินเวลาชั่วชีวิต วันที่อาม้าไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีนครั้งแรกเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้น. น้องสาวของอาหวั่วกงที่ผมต้องเรียกว่าอาเหล่าโกวนั้น บอกกับอาม้าว่า ฉันรอการกลับมาของพี่ชายมา 50 ปีแล้ว แต่พี่ชายไม่เคยกลับมาเลย

หลังจากกลับจากไหว้เฮียงบู๋ซัวแล้วคณะเราก็ตรงดิ่งไปบ้านของอาเหล่าโกว หรือน้องสาวของคุณตาผม



นี่คือบ้านของอาเหล่าโกวเป็นเรือนแถว ที่เห็นประตูทางเข้าสามประตูนั่น ไม่ใช่เป็นเจ้าของเดียว 1 ประตูต่อ 1 ครอบครัว

เดินเข้าไปบ้านต้องคับแคบแน่นอนแต่กลับมีห้องครัวที่ใหญ่ ใช้ได้เลย


ห้องครัวจะอยู่หน้าบ้าน. เมื่อเดินผ่านห้องครัวก็เจอห้องนอนเลย และแน่นอน "ไม่มีห้องน้ำ"

อาเฮียเอี้ยงลิ้มก็ปรารถนาดีแสนมีน้ำใจ กลัวน้องจากเมืองไทยอย่างผมอยากจะเข้าห้องน้ำ สู้อุตส่าห์เดินไปสำรวจว่ามีห้องน้ำซ่อนอยู่หลืบใดบ้าง เมื่อพบเจอว่าเพื่อนบ้านของอาเหล่าโกวที่อยู่ด้านตรงข้ามมีห้องน้ำด้วยก็ดีใจ กวักมือเรียกผม. ชี้นิ้วพร้อมเรียกว่า. "แชะซ้อ".
ผมนึกในใจ "อะไรหว่า แชะ แชะ หรือจะเรียกให้ไปถ่ายรูป อาเฮียบู๋ลิ้มน้องชายเฮียเอี้ยงลิ้มผู้เคยมาเมืองไทย ได้ยินเข้าก็ว่าใส่พี่ชายว่า "คนเมืองไทยเขาเรียกกันว่า กงซีล่ง ไปเรียกอย่างนั้นเขาไม่เข้าใจหรอก". พอได้ยินคำว่า กงซีล่ง ผมเข้าใจทันทีว่าอาเฮียเขาเรียกให้ผมไปเข้าห้องส้วม



จริงๆแล้วตั้งแต่มาเมืองจีนนี่ความอยากเข้าห้องน้ำก็ลดลงไปกึ่งหนึ่งโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ยิ่งมาเห็นสภาพบ้าน(ตามภาพบน)ก็รู้ได้ทันทีว่าห้องน้ำต้องแคบและมืดแน่นอน ก็เลยโบกมือปฏิเสธอาเฮียไป มานึกเสียดายภายหลังว่าน่าจะเข้าไปถ่ายรูปเก็บไว้ซักหน่อย

ความที่บ้านอาเหล่าโกวทั้งแคบและมืด ผมก็เลยต้องยืนรออยู่ด้านนอกไป ถ่ายรูปสภาพหมู่บ้านไป



แต่อาม้าบอกว่าให้เข้าไปในบ้านกิน "ไข่หวาน". ที่ลูกสะใภ้ของอาเหล่าโกวทำให้ ผมปฏิเสธแต่อาม้าบอกว่าต้องเข้าไปกินเพราะเป็นธรรมเนียม



เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นอาม้ากับอาตั่วกู๋นั่งประจำที่อยู่แล้วภายในบ้านของอาเหล่าโกว ที่ทั้งมืดและแคบ เพราะในฤดูหนาวจะหนาวมาก เขาเลยเจาะช่องหน้าต่างเล็กนิดเดียว ลองหยิบถ้วยไข่หวานที่วางบนโต๊ะมากินแค่คำเดียวก็ขยาดเพราะหวานสมชื่อ เมื่อไม่มีที่นั่งก็ต้องยืนกิน พลางมองไปรอบๆก็สะดุดตากรอบรูปเก่าๆกระจกมัวๆที่ติดผนัง มีเด็กวัยรุ่นห้าคนยืนเรียงตามอายุ

"จ๊าก! นี่มันรูปเราห้าพี่น้องนี่นา ตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นด้วย มาติดอยู่นี่ได้ไงนี่"

สรุปอาม้าเป็นคนส่งรูปลูกหลานที่เมืองไทยมาให้อาเหล่าโกวดู อาเหล่าโกวก็จัดแจงใส่กรอบรูปแขวนผนัง โดยที่พวกเราไม่รู้เลยว่ามีคนแก่ที่เฝ้ามองรูปเราจากชนบทอันห่างไกลในประเทศจีนมาเกือบยี่สิบปีแล้ว



ภาพเหล่าบรรดาเพื่อนบ้านของอาเหล่าโกว ทุกคนอายุเกินแปดสิบทั้งสิ้น อาม่าที่ยืนอยู่ในภาพนี้อายุเก้าสิบกว่าแล้วแต่ยังแข็งแรงมากซ้ำยังพูดเก่ง พูดเร็วผิดคนแก่บ้านเรา พยายามอธิบายให้ผมฟังว่าอาเหล่าโกวของผมดีใจสุดๆ ที่หลานจากเมืองไทยจะมาเยี่ยม ออกมารอตั้งแต่เช้า เดี๋ยวก็ผุดลุกผุดนั่งชะเง้อคอรอ ซึ่งแกก็ได้รอพี่ชายมา 50 ปีจนมาเจออาม้าครั้งแรกเมื่อยี่สิบก่อน จึงเลิกรอพี่มารอหลานยุคอาม้าอีก ยี่สิบปี รวมแล้ว 70 ปี ปัจจุบันแกอายุเกือบเก้่าสิบปีแล้ว



คนซ้ายอาเหล่าโกววัย 87 กับขวาเพื่อนบ้านวัย 92 ที่ยากจนไม่มีแม้ห้องส้วมใช้ ออกมาส่งหลานจากเมืองไทยที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าแต่สุขภาพร่างกายกลับแข็งแรงน้อยกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ